ตลาดอีคอมเมิร์ซในประเทศจีนมีการแข่งขันกันอย่างรุนแรง โดยมีผู้แข่งขันรายใหญ่คือจากค่าย Alibaba และ JD.com ที่มีจุดเด่นจุดด้อยที่แตกต่างกันไป โดย Alibaba จะเด่นเรื่อง ePamarket Place แพลตฟอร์มที่หลากหลายเช่น T Mall ที่เน้นจำหน่ายสินค้าจากร้านค้าที่จดทะเบียนบริษัทและ TaoBao ที่ให้ร้านค้าเข้ามาโพสต์ขายสินค้าบนแพลตฟอร์ม รวมถึง AliExpress ที่เจาะตลาดส่งออกต่างประเทศ แต่จุดด้อยของ Alibaba คือผู้ซื้อต้องจ่ายเงินก่อนรับสินค้าและเมื่อสินค้าเกิดปัญหาต้องทำเรื่องเคลมก่อนรับเงินคืนและการใช้บริษัทขนส่งเอกชนเป็นตัวกลางในการส่งของ
ส่วน JD.com เป็น eMarket Place ที่คนจีนนิยมสั่งสินค้าไฮเอนด์ และอิเลคทรอนิกส์ ที่จำเป็นต้องตรวจรับก่อนจ่ายเงิน และความรวดเร็วในการขนส่งจากการลงทุนด้านโลจิสติกส์เอง มีโดรน ออโต้ คาร์ให้บริการส่งสินค้า และจากจุดบริการ Kiosk ทั่วจีนที่กระจายสินค้าได้อย่างรวดเร็ว จน JD.com สามารถสร้างสถิติส่งสินค้าไอโฟน 8 ถึงมือลูกค้าหลังสั่งซื้อภายใน 4.38 นาทีเท่านั้น และมีเทนเซน ดิจิทัล แพลตฟอร์มจากจีน และวอลมาร์ทจากอเมริกาเป็นพาร์ทเนอร์หลัก
การแข่งขันในตลาดจีนคงไม่พอสำหรับคอมเมิร์ซจีน ยักษ์ใหญ่อย่าง Alibaba และ JD.com เห็นพร้อมต้องกันว่า ไทยคือ ตลาดที่สำคัญในเอเชียแปซิฟิก จากการมองเห็นมูลค่าค้าปลีกในประเทศไทยปีที่ผ่านมา 94.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ แม้อีคอมเมิร์ซมีสัดส่วนไม่ถึง 1% ในตลาด แต่ก็มีโอกาสที่น่าสนใจจากประชากรไทย 68 ล้านคน ใช้งานสมาร์ทโฟน 71% เข้าถึงอินเทอร์เน็ต 68% และโซเชียลมีเดีย68% ที่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสู่การซื้อสินค้าออนไลน์มากขึ้น
โดย Alibaba ได้เข้าบุกตลาดไทยด้วยการซื้อกิจการ Lazada เว็บอีคอมเมิร์ซที่เข้ามาในตลาดไทยประมาณ 5 ปี ในปีที่ผ่านมา และไม่เข้าไปเกี่ยวข้องกับการบริหารงานของ Lazada นอกจากจะมีสินค้าจากผู้ขายชาวจีนมาจำหน่ายใน Lazada มากขึ้น
เป็นธุรกิจโมเดลที่ต่างๆ จาก JD.com ที่เลือกการร่วมทุนกับ เซ็นทรัล กรุ๊ป เปิด eMarket Place JD.co.th ด้วยเงินลงทุน 17,500 ล้านบาท พัฒนาแพลตฟอร์มและโมเดลโลจิสติกส์รวมกัน รวมถึงขยายการให้บริการไปยังธุรกิจอีไฟแนนซ์ คาดเปิดให้บริการเมษายน 2561 หลังจากรออนุมัติไลเซ่นประกอบการ JD.co.th ภายใต้เทรดมาร์ก JD Central ในประเทศไทย
มั่นใจกำไรก่อนคู่แข่ง
แม้ว่า JD.co.th จะพร้อมให้บริการไตรมาส 2 ปีหน้า แต่ญนน์ โภคทรัพย์ President of Central Group เชื่อมั่นว่าหลังติดเครื่องในธุรกิจแล้ว JD.co.th จะสามารถทำกำไรได้เร็วกว่าคู่แข่ง สินค้า 40-50 ล้าน SKU ที่จาก 10,000 พาร์ทเนอร์ ที่ทำธุรกิจกับเซ็นทรัล กรุ๊ป สามารถต่อยอดความสำเร็จได้อย่างรวดเร็ว และโดยไม่ต้องเริ่มจากศูนย์ และมีฐานลูกค้าที่มีอยู่เดิมจาก The 1 Card ที่มีอยู่ทั้งสิ้น 14 ล้านราย ซึ่งเป็นฐานลูกค้าที่คู่แข่งไม่มี และต้องใช้งบลงทุนสูงเพื่อดึงกลุ่มลูกค้าเข้าแพลตฟอร์ม เพราะธุรกิจนี้ต้องเติบโตจาก Loyalty และ เงินหมุนเวียนในระบบที่มากพอ
สู่ Omni Channel
วันนี้การแข่งขันของ JD.co.th ในตลาด อีคอมเมิร์ซไทย อาจเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นของความร่วมมือ แต่สำหรับ ญนน์ คือหนึ่งในพลังสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจรีเทลของเซ็นทรัล กรุ๊ป สู่ Omni Channel ผนวกออนไลน์กับออฟไลน์เข้าด้วยกันรวมเป็นประสบการณ์เดียวกันทุกช่องทาง พร้อมสัดส่วนรายได้จากอีคอมเมิร์ซ 15% ภายใน 5 ปี จากปัจจุบัน 1% บนรายได้รวมปีที่ผ่านมา 382,000 ล้านบาท เติบโตเฉลี่ย 15% ต่อปี
แม้ว่าที่ผ่านมา ธุรกิจรีเทลของเซ็นทรัล กรุ๊ป จะมีเว็บอีคอมเมิร์ซ ของตัวเองแยกย่อย ทั้งเซ็นทรัล โรบินสัน ซูเปอร์สปอร์ต และอื่นๆ รวมถึง Looksi เว็บอีคอมเมิร์ซที่เปลี่ยนจาก Zalora หลังเข้าซื้อกิจการ แต่ ญนน์ ยังต้องการดักลูกค้า ทุกช่องทาง ไม่ว่าจะซื้อสินค้าจากช่องทางไหนรายได้ก็จะกลับมายังเซ็นทรัล กรุ๊ป ทั้งสิ้น
นอกเหนือจากการได้เรียนรู้ Know How โลจิสติกส์ ขนส่งสินค้าที่รวดเร็ว และประสบการณ์การให้บริการอีคอมเมิร์ซ การร่วมมือกับ JD.com ยังช่วยต่อยอดธุรกิจเซ็นทรัล กรุ๊ป ไปยังประเทศจีนได้อีกช่องทางหนึ่ง เพราะที่ผ่านมา JD.com สั่งสินค้าจากไทยอิมพอร์ตไปขายยังประเทศจีนมากถึง 10,000 ล้านบาทต่อปี ไม่รวมร้านค้ารายย่อยใน JD.com อีกจำนวนมาก